
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่มีเคสเรื่องการส่งต่อ เปลี่ยนผ่านธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นพอสมควร และส่วนใหญ่ปัญหามักเกิดมาจาก “การสื่อสาร”
บางครอบครัว ไม่พูดกันตรงไปตรงมา
บางครอบครัวอยากส่งต่อ แต่ยังคงมองรุ่นหลังด้วยความมั่นใจ
บางครอบครัว รุ่นใหญ่ไม่ปรับตัว ไม่เปิดกว้าง
บางครอบครัว แยกบทบาทในบ้านระหว่างพ่อ แม่ และลูกออกจากบทบาทในที่ทำงานระหว่างตำแหน่งที่แต่งตั้ง มอบหมายกันไม่ได้
บางครอบครัวเปิดกว้าง ใจกว้าง ทิศทางชัดเจน เปิดโอกาสให้พิสูจน์ผลงานแล้วจึงทยอยมอบหมายหน้าที่และแต่งตั้งให้มีบทบาทมากขึ้นในบริษัท
ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม หรือร้านอาหาร หรือธุรกิจอื่น ๆ ก็อาจประสบปัญหาคล้ายกัน แต่อยู่ที่ว่าแต่ละครอบครัว “สื่อสาร” กันอย่างไร
ขอเล่าเรื่องให้ฟังเรื่องหนึ่ง….
รุ่นลูกไฟแรงอยากปรับเปลี่ยนที่พักพร้อมร้านอาหารที่ทำธุรกิจมาตั้งแต่พ่อแม่เริ่มก่อร่างสร้างตัวให้ทันสมัยดูดีสะอาดปลอดภัยตั้งแต่หลังบ้านจนถึงหน้าบ้าน อยากเปลี่ยนวิธีทำงานที่เป็นแบบเถ้าแก่ คำสั่งรวมศูนย์กลางให้เป็นแบบบริษัท มอบหมายอำนาจหน้าที่ตามขอบเขตงานที่รับผิดชอบเพื่อฝึกทีมงามให้ทำงานอย่างเป็นระบบ ตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้ตามมาตรฐานการให้บริการของบริษัท ในขณะเดียวกันก็อยากปรับสวัสดิการทุกอย่างให้ทีมงานอยู่ดีกินดี
แต่…….
รุ่นพ่อแม่ยังมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนอะไรมากมายเพราะเห็นว่าก็ยังมีรายได้เติบโตทุกปี ถึงแม้จะเติบโตในอัตราที่น้อยลงแต่ (รู้สึก) ว่ายังเติบโตอยู่ตลอดเพราะยังมีเงินใช้ตามต้องการไม่ได้ติดขัดอะไร อยากไปต่างประเทศ…ได้ไป อยากออกรถใหม่…ได้ออก
รุ่นลูกพยายามอธิบายให้เห็นความจำเป็นในการปรับตัวเพื่อเตรียมรับกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และโรงแรมร้านอาหารใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน
แต่รุ่นพ่อแม่ยังมองว่า “ยังไม่ถึงเวลา” แต่ก็อยากถนอมน้ำใจรุ่นลูกจึงมอบหมายให้หน้าที่ให้เข้ามาบริหารงานบางส่วนเพื่อพิสูจน์ผลงาน จนค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมาเป็นระดับ “ผู้จัดการ”
รุ่นลูกมุ่งมั่นและขยันทำงานอย่างไม่ย่อท้อถึงแม้จะต้องทะเลาะกับ “คนของรุ่นพ่อแม่” เพียงเพราะต้องการพิสูจน์ให้รุ่นพ่อแม่เห็นผลงานและศักยภาพในตัวเขาว่าไม่ใช่แค่เป็น “ผู้จัดการ”
แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี….สิ่งที่เขาได้รับการยอมรับคือ “เป็นผู้จัดการที่ทำงานดี”
รุ่นลูกมองเห็นและมีแผนงานที่ชัดเจนในการที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตโดยที่เขาไม่ต้องมา “นั่งเฝ้า” ธุรกิจทุกวัน แบบเถ้าแก่อย่างที่รุ่นพ่อแม่ทำมา หากแต่เขาวางระบบและโครงสร้างการทำงานให้ทีมงานอย่างเป็นระบบจนทีมงานสามารถทำงานและแก้ไขปัญหาได้อย่างรอบคอบและรัดกุมมากขึ้น เขายังมีแผนในใจถึงขั้นวางแผนงานแตกไลน์ธุรกิจไปในแบบต่างๆ เตรียมนำเสนอรุ่นพ่อแม่ เพราะเขามั่นใจในศักยภาพของตัวเขาจากตัวเลขผลงานที่ผ่านมาหลายปีที่สร้างรายได้มากขึ้นหลายเท่าจากการปรับปรุงเล็กน้อยในบางส่วน
แต่สิ่งที่เขาพยายามนำเสนอไม่เคยผ่านความเห็นชอบจากรุ่นพ่อแม่เลยสักที คำตอบมีเพียง “ทำตรงนี้ให้ดีก่อน” และตัดบท จบการสนทนา
จนวันหนึ่ง….เขารวบรวมความกล้าเดินเข้าไปบอกพ่อแม่ “ขอลาออกจากการเป็นผู้จัดการ”
.
.
.
เขาออกมาลงทุนร่วมกับเพื่อพัฒนาโครงการโรงแรมและร้านอาหารใหม่ในทำเลที่ไม่ไกลจากที่ตั้งเดิมด้วยทีมของเขาเอง
โครงการได้รับรางวัลหลากหลายด้านไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ รางวัลนักธุรกิจรุ่นใหม่ และเขายังได้พัฒนาธุรกิจขยายออกไปอย่างกว้างขวางโดยที่เขาไม่ต้องนั่งเฝ้าอยู่ที่โรงแรมแต่อย่างใด แต่ออกเดินทางเพื่อหาประสบการณ์ เปิดโลกกว้าง และนำกลับมาปรับใช้กับธุรกิจของเขาก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
/จบ/
จากเรื่องข้างต้นเชื่อว่าทุกครอบครัวมีทางเลือกเสมอไม่ว่าจะเลือกแบบไหนแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ครอบครัว” เสมอ….นะคะ