fbpx

Hotel Consulting

รู้ให้จริง ทำให้เป็น เรื่องโรงแรม

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีหลายท่านสอบถามมาเรื่องการหาคนมาบริหารโรงแรมต่อไปในอนาคตว่าควรจะทำอย่างไรดี

สิ่งที่เจ้าของโรงแรมควรเริ่มตั้งหลักวิธีคิดให้ดีมีดังนี้

ที่มาที่ไปของการทำธุรกิจ

การเริ่มต้นทำธุรกิจโรงแรมเท่าที่ผ่านมาโดยเฉพาะการทำโรงแรมที่พักขนาดเล็ก ถึง ขนาดกลาง (ต่ำกว่า 79 ห้อง) นั้น มีดังนี้

  1. ต้องรับภาระสืบทอดธุรกิจของครอบครัว – ครอบครัวทำธุรกิจโรงแรมมานานเป็นหลักสิบปี หลายสิบปี และส่งต่อมาถึงมือรุ่นปัจจุบันที่รุ่นพ่อแม่ ส่งไปเรียนการโรงแรมในต่างประเทศ หรือในประเทศเพื่อมาสืบทอดกิจการ
  2. ความใฝ่ฝันส่วนตัว – ถ้าเราไปสอบถามคนว่าอยากทำธุรกิจอะไร การทำโรงแรม การเป็นเจ้าของโรงแรม มักเป็นหนึ่งในคำตอบเสมอ คล้าย ๆ กับคำตอบว่า อยากทำร้านกาแฟ เพราะเป็นคนชอบดื่มกาแฟ หรืออยากทำร้านอาหาร เพราะที่บ้านทำอาหารอร่อยอยากให้คนอื่นได้รับประทานอาหารอร่อย ๆ แบบที่ครอบครัวทำ
  3. รักในการลงทุนระยะยาว – ข้อนี้ก็พบเห็นได้ประมาณหนึ่งสำหรับมูลค่าการลงทุนที่สูงขึ้น ลักษณะครอบครัวปลูกฝังมาในเรื่องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และการบริหารสินทรัพย์ ที่รุ่นลูกจะเริ่มเข้ามาปรับพอร์ตของครอบครัว แบ่งการลงทุนและบริหารการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว

.

.

.

เมื่อแยกประเภทของที่มาที่ไปในการทำธุรกิจแล้ว ประเด็นต่อมาที่ควรพิจารณา คือ “การประเมินศักยภาพ”

ประเมินศักยภาพและทรัพยากรที่มีอยู่ในมือ

ถามว่าจะให้ประเมินอะไร ?

สิ่งที่ควรประเมินได้แก่

  1. ประเมินตัวเอง
  2. ประเมินเป้าหมายในอนาคต
  3. ประเมินงบประมาณ และการบริหารการเงินในอนาคต

ทำไมจึงควรประเมิน 3 ประเด็นนี้

ข้อแรกสำคัญมาก คือ การประเมินศักยภาพของตนเองว่าเรามีความพร้อมในด้านต่าง ๆ อย่างไร ตั้งแต่ ระดับความรู้ความเข้าใจในธุรกิจโรงแรม ประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมา อาจไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจโรงแรมแต่อาจเคยช่วยบริหารกิจการครอบครัวตามที่ได้รับมอบหมาย อาจเคยทำธุรกิจเล็ก ๆ กับเพื่อน หรืออาจไม่เคยทำธุรกิจด้วยตนเองเลยตั้งแต่เริ่มต้น เป็นต้น

ข้อต่อมาคือประเมินเป้าหมาย เมื่อก้าวลงมาทำธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการสานต่อธุรกิจหรือเริ่มทำธุรกิจของตัวเองใหม่ ลองวางเป้าหมายในระยะ 5 ปี – 10 ปีดูว่าคุณอยากพาธุรกิจไปทางไหนอย่างไร อย่าลืมทบทวนข้อแรกประกอบด้วยนะคะก่อนจะตั้งเป้าหมาย

ข้อสุดท้ายเรื่องงบประมาณและการบริหารการเงิน ข้อนี้จะทำให้ข้อ 2 เป้าหมายของคุณไปถึงได้ตามที่ต้องการ

.

.

การลงทุนทำโรงแรมเป็นการลงทุนที่ใช้เงินจำนวนมากลงไปบนทรัพย์สินถาวรคือที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และยังต้องลงทุนอีกก้อนใหญ่ในการใส่เครื่องมืออุปกรณ์และระบบต่าง ๆ เพื่อให้โรงแรมสามารถเปิดให้บริการได้ โดยเฉพาะบุคคลากรหรือทีมงานซึ่งมีสัดส่วนของค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงในธุรกิจโรงแรม ดังนั้น การที่จะตัดสินใจทำโรงแรมจึงเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญที่มักจะให้คำแนะนำลูกค้าไปว่า “ให้คิดให้รอบคอบก่อนลงมือทำ”

เมื่อประเมินศักยภาพตามประเด็นข้างต้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็มาพิจารณาความต้องการของคุณว่า ต้องการแบบไหน ?

  1. นั่งอ่านรายงานและดูบรรทัดสุดท้ายอย่างเดียว
  2. อยากมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายในการบริหารงานและทิศทางธุรกิจ แต่ไม่อยากยุ่งเรื่องโอเปอเรชั่น
  3. อยากทำเองทุกอย่าง

ถ้าต้องการแบบแรก ควรไปหาเชนโฮเต็ลต่างประเทศที่มีทีมงานและเครือข่ายในระดับต่างประเทศ เพราะเขาจะมีทั้งระบบ และทีมงานที่เข้ามาจัดการทุกอย่างแทนคุณ แต่คุณต้องปฏิบัติตามกฎกติการการเป็นโรงแรมในกลุ่มสมาชิกอย่างเคร่งครัดทั้งในเรื่องระบบระเบียบและค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ ตามเงื่อนไขภายใต้แบรนด์ในแต่ละระดับ ซึ่งแต่ก่อนค่าบริการอาจมีแค่ 3-4 รายการแต่ปัจจุบันมีรายการค่าธรรมเนียมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ 5-10 รายการ แยกรายละเอียดในแต่ละด้านอย่างชัดเจน ตั้งแต่ค่าบริหาร ค่าแบรนด์ ค่าทำการตลาด ค่าตั้งสำรองค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาโรงแรม เป็นต้น

ถ้าต้องการแบบที่ 2 ข้อนี้ต้องกลับมาถามตัวเองอีกครั้งว่าระดับการเข้าไปเกี่ยวข้องในการบริหารงานอยู่ในระดับไหน บางคนบอกไม่อยากยุ่งเยอะ แต่พอถึงเวลาจริง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องในทุกรายละเอียดแบบชนิดไม่ปล่อยวางเลยแม้แต่นิดเดียว และยังไม่สามารถสื่อสารอย่างนุ่มนวลในการกำกับดูแลทีมงานได้อีกต่าง ๆ ยังคงติดในวิธีการทำงานแบบครอบครัวที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคน ๆ เดียวในการตัดสินใจ กรณีแบบนี้การขับเคลื่อนธุรกิจเป็นไปได้ยากลำบากมากเพราะไม่ว่าจะเสนออะไรไป ต้องผ่านคนๆนี้ให้ได้ก่อนในทุกเรื่องไม่เฉพาะแต่เรื่องนโยบายหรือทิศทางในการทำธุรกิจ

การกำกับดูแลผลการดำเนินงานในแบบที่ 2 นี้สามารถใช้บริการของบริษัทรับบริหารจัดการ หรือ Hotel Management Company ได้ แต่ก็ต้องคุยในรายละเอียดให้มาก ๆ และเลือกบริษัทที่มีความสามารถในการบริหารโรงแรมในกลุ่มที่มี Positioning ใกล้เคียงกับโรงแรมของคุณ ไม่ใช่เลือกบริษัทที่ไม่เคยบริหารระดับ 5 ดาวหรือระดับ Luxury ให้มาบริหารโรงแรมที่ต้องการไปแบบ Luxury

ส่วนแบบที่3 อยากลงมือทำเองทุกอย่าง กรณีนี้มีทั้งแบบทำคนเดียว ทำในหมู่พี่น้อง แบ่งหน้าที่กันดูแลในด้านต่าง ๆ กรณีนี้ก็ควรเตรียมใจในเรื่องงานหนัก รายละเอียดมากมายที่จะทำให้คุณปวดหัวตั้งแต่เรื่องบริหารคน บริหารเวลา และบริหารงบประมาณ ซึ่งหากคุณมีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจบ้าง ก็ค่อย ๆ ทำไปได้ แต่ถ้าคุณคิดว่าควรมีผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์มาช่วยคุณในระยะเริ่มต้นก็สามารถหาคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญมาช่วยเป็นโค้ชในคุณได้เข้าใจการทำธุรกิจแบบ “รู้ให้จริง ทำให้เป็น” ได้เช่นกัน

ปัญหาที่พบบ่อยคือ “การฟังคนอื่น”

เค้าบอกมาแบบนี้

เค้าบอกมาแบบนั้น

ทำไมคนนั้นทำแบบนี้

ทำไมเราไม่ทำแบบนั้น

นี่คือคำถามที่มักจะตั้งคำถามกลับไปยังเจ้าของโรงแรมให้ประเมินตนเองใหม่ ประเมินเป้าหมายใหม่ว่า “คุณกำลังบริหารโรงแรมแบบไหน ในระดับตำแหน่งการตลาดแบบไหน” และคำแนะนำหรือที่คุณฟังที่คนอื่นพูดมา เขาบริหารโรงแรมแบบไหน เขาทำโรงแรมในระดับไหน

การนำข้อความหรือคำแนะนำของโรงแรมที่มีเป้าหมายต่างกันมาปรับใช้กับธุรกิจโรงแรมของตนเองโดยที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย เช่น คนทำโรงแรมที่มีสัดส่วนรายได้จากร้านอาหาร 70% ห้องพัก 30% มาใช้กับโรงแรมในลักษณะรีสอร์ทริมทะเลที่มีสัดส่วนรายได้ห้องพัก 85% และรายได้จากร้านอาหาร 15% กรณีแบบนี้ควรระมัดระวังให้ดี หรือ เอาคำแนะนำจากโรงแรมแบบ 5 ดาวมาปรับใช้กับโรงแรมระดับราคาประหยัด ข้อนี้ก็ควรพิจารณาให้มาก ๆ เพราะงบประมาณที่มีแตกต่างกันมากดังนั้นการขับเคลื่อนธุรกิจบนงบประมาณที่ต่างกัน ผลที่ได้ย่อมต่างกันด้วยเช่นกัน

.

.

.

หวังว่าคำแนะนำนี้จะเป็นประโยชน์และทำให้ทุกท่านกลับมาเริ่มจากการพิจารณาตนเองก่อนนะคะ