
โรงแรมใช้จ่ายกับเรื่องอะไรมากที่สุดในการทำแคมเปญออนไลน์
การตลาดโรงแรม โดยเฉพาะการทำ แคมเปญออนไลน์ ในปัจจุบันมีช่องทางในการใช้จ่ายมากมายจนกลายเป็นรายจ่ายหลักสำหรับโรงแรมที่พักขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่ไม่ได้ทำการตลาดกับทราเวลเอเย่นต์หรือทัวร์โอเปอเรเตอร์ในต่างประเทศ ดังนั้น หากไม่มีการวางแผน ออกแบบกลยุทธในการใช้จ่ายอย่างเป็นระบบ….เท่ากับทุกบาทที่คุณใช้จ่ายออกไปไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
.
ถ้าเราจะจัดหมวดหมู่การใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมการตลาดการขายเทียบเคียงกับเส้นทางการตัดสินใจซื้อ (Customer Journey) อาจช่วยให้คุณมองภาพการใช้จ่ายไปได้ชัดเจนมากขึ้น ยังไม่ต้องคำนึงว่าคุณใช้การสื่อสารผ่านช่องทางไหน คุณมียอดการใช้จ่ายที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
1) ใช้จ่ายไปกับการทำให้ลูกค้ามองเห็น ค้นหาโรงแรมเจอ (Discover/Explore)
2) ใช้จ่ายไปกับการทำให้ลูกค้ากดไลก์ กดติดตาม ใส่คอมเมนต์ สอบถามต่างๆ (Engage)
3) ใช้จ่ายไปกับการทำให้ลูกค้าจองห้องพัก (Conversion / Convert)
4) ใช้จ่ายไปกับการสร้างฐานลูกค้าเก่าที่เคยเข้าพัก (Loyalty Program)
.
ถ้าคุณแยกประเภทแบบคร่าวๆตามข้อ 1-4 ข้างต้นได้ คุณจะเห็นสัดส่วนการใช้งบประมาณของโรงแรมคุณว่าไปกระจุกตัวอยู่ตรงไหน ตอบโจทย์ที่ต้องการหรือเปล่า มีค่าใช้จ่ายส่วนไหนที่ไม่ควรเกิด หรือไม่ควรใช้จ่ายด้วยยอดสูงขนาดนั้น

.
การตลาดโรงแรม กับการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย
โรงแรมที่พักขนาดเล็กกับโรงแรมขนาดใหญ่ภายใต้เชนมีทิศทางและสัดส่วนในการใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ถ้าเราลองสมมติตัวอย่างตามกราฟแท่งเปรียบเทียบในภาพสุดท้าย …จะเห็นว่า การใช้จ่ายเพื่อทำให้ลูกค้าค้นหาเจอและทำให้ลูกค้าแสดงออกต่อแบรนด์ หรือ Engagement นั้นอาจจะสูสีกัน แต่อาจจะมีรูปแบบการกระจายค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันระหว่าง Individual Hotel กับ Hotel Chain ที่จะมีข้อตกลงในเรื่อง Expense Allocation ระหว่างโรงแรมในกลุ่มเชนนั้นๆในกิจกรรมการตลาดและการขายที่แตกต่างกันออกไป
สำหรับ Individual Hotel ที่เจ้าของบริหารจัดการกิจกรรมการตลาดและการขายด้วยตนเอง หรือมีทีมทำให้โดยตนเองเป็นผู้กำหนดทิศทางและกำกับการทำงานของทีมการตลาดด้วยตนเอง ไม่ควรแยกค่าใช้จ่ายตามผู้ให้บริการ หมายถึงอย่าไปแยกค่าใช้จ่ายว่าในแต่ละเดือนคุณใช้ไปกับ Google, Facebook Ads, Instagram Ads, TikTok Ads เป็นจำนวนเท่าไหร่ ถึงแม้ในทางบัญชีคุณจะแยกตัวเลขตามนั้น แต่ในทาง “ผู้กำหนดทิศทางการทำธุรกิจ” แล้ว คุณควรจะแยกให้ออกว่ายอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละผู้ให้บริการนั้น เพื่อวัตถุประสงค์อะไรบ้าง – คุณจึงจะเห็นภาพที่ชัดเจนและละเอียดมากขึ้น
ข้อสังเกตที่น่ากลัวในการใช้จ่ายกับกิจกรรม การตลาดโรงแรม
จุดที่แตกต่างกันชัดเจนในส่วนค่าใช้จ่ายคือ โรงแรมที่พักขนาดเล็กถึงขนาดกลางจะไปจบในส่วน Conversion / Convert กระจุกตัวอยู่ที่ OTA ทำให้ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้อาจสูงกว่าโรงแรมขนาดใหญ่ที่อยู่ภายใต้เชนหรือเปล่า ? —— ตั้งเป็นคำถามไว้ให้นำตัวเลขค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นมาวิเคราะห์เพิ่มเติมต่อไป
โรงแรมที่พักขนาดเล็กถึงขนาดกลางบางแห่งมียอดขายมากกว่า 80% ที่มาจาก OTA นั่นเท่ากับว่า นอกเหนือจากค่่าใช้จ่ายที่คุยจ่ายไปตลาดเส้นทางการซื้อของลูกค้า (Customer Journey) แล้ว คุณยังมีค่าใช้จ่ายในส่วนคอมมิชชั่นที่ต้องชำระให้กับ OTA แต่ละรายอีกในสัดส่วนที่สูงมาก ๆ เท่ากับว่า รายรับสุทธิต่อห้อง (Net Room Revenue) หลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว โรงแรมคงเหลือรับได้ตามเป้าหมายหรือเปล่า — ????
.








ประเด็นที่อยากชวนให้ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมสำหรับโรงแรมที่ #เจ้าของโรงแรม ทำ การตลาดโรงแรม และบริหารการขายเอง คือ




1) เวลาคุณเลือกทำกิจกรรมการตลาดคุณตั้งต้นการเลือกจากประเภทเทคโนโลยีหรือเปล่า ? เลือก Marketplace เลือก Platform เลือก Application เลือกเครื่องมือ ( Tool )ต่างๆ
2) เวลาคุณเลือกสื่อสารกับลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมาย คุณมักจะตั้งต้นจาก Application ที่คุณคุ้นเคยและสามารถจัดการได้ด้วยตนเองหรือเปล่า ? เช่น เลือกใช้ LINE แต่ไม่รู้ว่าบัญชีส่วนบุคคล กับบัญชีที่จะใช้ของโรงแรม แตกต่างกันอย่างไร ใช้บัญชีเดียวกันได้หรือเปล่า อะไรเป็นฟีเจอร์ที่สำคัญที่เหมาะสำหรับธุรกิจ และควรเริ่มต้นจากจุดไหน เป็นต้น
3) ปัจจัยเรื่อง #เวลา ที่จะต้องใช้กับแต่ละ Application เป็นส่วนหนึ่งในการเลือกใช้แอพฯหรือเปล่า บาง App มี Feature ให้เล่นมากมาย เท่ากับว่าต้องใช้เวลาในการจัดการมากขึ้นหรือเปล่า หรือมีความสลับซับซ้อนในการใช้งานสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปจนเรียกได้ว่ากว่าจะสร้าง แคมเปญออนไลน์ เสร็จแต่ละอัน หมดไปครึ่งวัน
4) ถ้าเป็น App ที่ไม่คุ้นเคย มีเครื่องมือในการจัดการหลังบ้านที่ดูใช้งานยาก คุณจะไม่เลือกใช้งาน ถึงแม้จะเป็น App ที่ดีมีประสิทธิภาพหรือเปล่า
.


.
- แยกตามผู้ให้บริการ เช่น Google Ads, Facebook Ads, Instagram Ads เป็นต้น และให้นำตัวเลขค่าบริการที่ต้องจ่ายให้กับ Freelancer ที่มาช่วยทำการตลาดออนไลน์ หรือใครที่จ้างเอเจนซี่โฆษณา ก็ให้นำยอดมารวมด้วย
- แยกตาม Customer Journey ตั้งแต่ Explore/Discover, Engage, Convert/Conversion, Loyalty
- เปรียบเทียบกับ Room Night Production ที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน แยกแต่ละตลาด
- รวมยอดคอมมิชชั่นที่ต้องจ่ายให้กับ OTA แต่ละราย
- เปรียบเทียบยอด Direct Booking กับ OTA โดยแยกรายการ Direct Booking ออกมาให้เห็นด้วยว่ามาจากช่องทางไหน เช่น ลูกค้าโทรจองตรงกับโรงแรม จองผ่าน Line OA จองผ่าน Social Media เป็นต้น
หลังจากนั้นให้วิเคราะห์ว่า
- ค่าใช้จ่ายในการทำ แคมเปญออนไลน์ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่ทำให้ลูกค้าค้นหาโรงแรมเจอ และรับรู้ต่อแบรนด์ มี Engagement เป็นสัดส่วนเท่าไหร่
- ค่าใช้จ่ายที่ทำให้เกิด Conversion เป็นสัดส่วนเท่าไหร่
- เปรียบเทียบกับค่าคอมมิชชั่นที่จ่ายให้กับ OTA
===========================================
ภาพค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดโรงแรม ที่อาจเกิดขึ้นมีหลายฉากทัศน์ เช่น
- ค่าใช้จ่ายกระจุกตัวอยู่กับการทำให้ลูกค้าค้นหาเจอ (Discover/Explore)
- ค่าใช้จ่ายกระจุกตัวอยู่กับการทำให้ลูกค้ากดไลก์ กดแชร์ คอมเมนต์ (Engagement)
- ค่าใช้จ่ายกระจุกตัวอยู่ทั้งขั้นตอน Discover และ Engagement และไม่ได้ทำอะไรต่อ
- ค่าใช้จ่ายที่สร้าง Lead และ Conversion ต่ำมาก หรือ ไม่มีเลย
- ค่าใช้จ่ายมีแต่ค่าคอมมิชชั่นที่จ่ายให้ OTA เป็นรายการหลัก ไม่เคยมีค่าใช้จ่ายในการทำ แคมเปญออนไลน์ ด้วยตัวเอง
- ไม่มีค่าใช้จ่ายไปถึงเรื่อง Loyalty เพราะไม่เคยทำ และยังไม่มีข้อมูลว่ามีลูกค้ากลับมาพักซ้ำเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของยอดจองห้องพักทั้งหมด (by Room Night) หรือจากยอดรายได้ค่าห้องพักทั้งหมด (by Room Revenue)
==============
สำหรับโรงแรมที่ว่าจ้าง Freelancer หรือ Ad Agency มาวางแผนการตลาดออนไลน์ให้ สิ่งที่คุณควรพูดคุยและตกลงกับทีมงานในส่วนนี้มีประเด็นอะไรบ้าง อ่านได้ที่ https://thethinkwise.com/2020/11/07/how-to-brief-online-marketing-team/
ไม่พลาดคำแนะนำและเทคนิคแบบรู้ให้จริง ทำให้เป็นเรื่องโรงแรม แนะนำกดติดตาม thethinkwise ที่ https://linktr.ee/thethinkwise